แนวข้อสอบ เภสัชกร
***************************
สตรีชื่อ นางศรีเวียงอายุ 50 ปี มาร้านยาที่ ภก.ประชาปฏิบัติงาน โดยแจ้งว่าอยากได้ยาแอสไพริน จานวน 100 เม็ด จากการซักประวัติ พบว่า นางศรีเวียงมีโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูงและโรคความดันโลหิตสูง แพทย์สั่งให้ทานยาเม็ดแอสไพรินมา 2 เดือนแล้ว
1. ยาที่ต้องจ่ายให้นางศรีเวียงและแนะนาวิธีรับประทานคือ
1. ขนาด 60 มก.วันละครั้ง
2. ขนาด 60 มก. วันละ 3 ครั้ง
3. ขนาด 60 มก. ทุก 4-6 ชม.
4. ขนาด 325 มก.วันละครั้ง
5. ขนาด 600 มก.วันละครั้ง
2. กลไกการออกฤทธิ์ของยาเม็ดแอสไพรินในการป้องกันการเกิด stroke คือ
1. ขยายหลอดเลือด
2. ทำให้หัวใจบีบตัวได้ดีขึ้น
3. ทาให้เกล็ดเลือดบางลง (blood thinner)
4. ป้องกันการจับตัวกันของลิ่มเลือด
5. ลดความเข้มข้นของเลือด
3. นางศรีเวียงเล่าให้ฟังว่า ครั้งที่แล้วซื้อยาจากร้านยาแห่งหนึ่ง ยาเม็ดมีกลิ่นฉุนมาก ท่านอธิบายว่าอาจเนื่องจากยาอาจมีการเสื่อมสลายหากเก็บไม่ดี การเสื่อมของแอสไพรินเป็นปฏิกิริยา
1. auto-oxidation ซึ่งเกิดมากเมื่อมีอากาศหรือออกซิเจน
2. isomerization ให้รูปที่ไม่ออกฤทธิ์
3. hydrolysis
4. liquefaction
5. photolysis
4. นางศรีเวียงบ่นว่า เมื่อรับประทานยา ช่วงหลังนี้มักมีอาการปวดท้องบริเวณกระเพาะ ท่านจะแนะนำอย่างไรที่เหมาะสมที่สุด
1. ให้เปลี่ยนยาเม็ดแอสไพรินเป็น Paracetamol Tablets แทน
2. ให้รับประทานยาเม็ดแอสไพรินพร้อมยาลดกรด
3. ให้รับประทานยาเม็ดแอสไพรินพร้อมอาหาร
4. เปลี่ยนเป็น delayed-released tablets
5. ให้หยุดยาไปก่อน แล้วไปพบแพทย์
5. ยาแอสไพรินที่อยู่ในรูป Buffered Aspirin น่าจะมีข้อดีคือ
1. ลดการระคายเคือง
2. เพิ่มความคงตัว
3. เพิ่มการดูดซึม
4. ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
5. ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
6. ที่ขวดบรรจุยาเม็ดแอสไพริน มีข้อความว่า Exp.Date : Oct 2003 หมายความว่า ไม่ควรใช้หลังวันที่
1. 30 กันยายน 2546
2. 1 ตุลาคม 2546
3. 15 ตุลาคม 2546
4. 31 ตุลาคม 2546
5. 1 พฤศจิกายน 2546
7. การเสื่อมสลายของยาเม็ดแอสไพรินมีลักษณะ ดังนี้
ลักษณะการเสื่อมสลาย ข้อใดถูกต้อง
1. apparent zero-order kinetics
2. zero-order kinetics
3. apparent first- order kinetics
4. first-order kinetics
5. second-order kinetics
8. ในการพิจารณาข้อมูลความคงตัวของยา มีข้อมูลดังนี้
จากกราฟนี้ ข้อใดไม่ถูกต้อง
1. การเสื่อมสลายของแอสไพรินมีค่าขึ้นกับอุณหภูมิ
2. กราฟใช้ทานายอายุของยาได้
3. Product A มีความคงตัวกว่า Product B
4. กราฟนี้เรียกว่า Arrhenius Plot
5. กราฟนี้ของสารส่วนใหญ่มักมี slope เป็นลบเสมอ
9. อายุของยา (shelf-life) มักคำนวณระยะเวลาที่ยาสลายไปไม่เกิน
1. 5 %
2. 10%
3. 15%
4. 20%
5. 50%
10. แอสไพรินเป็น weak acid drug ซึ่งมีค่า pKa เท่ากับ 3 หากในกระเพาะอาหารมีค่า pH เท่ากับ 1
1. ยาส่วนใหญ่อยู่ในรูปไม่แตกตัว และดูดซึมได้ดีในกระเพาะอาหาร
2. ยาส่วนใหญ่อยู่ในรูปแตกตัว และดูดซึมได้ดีในกระเพาะอาหาร
3. ยาส่วนใหญ่อยู่ในรูปไม่แตกตัว และดูดซึมได้ดีในลาไส้ (pH 6.8)
4. ยาส่วนใหญ่อยู่ในรูปแตกตัว และดูดซึมได้ดีในลาไส้
5. ยาดูดซึมได้ดีทั้งในกระเพาะอาหารและลาไส้
11. หาก ภก.ประชาต้องการเตรียม Aspirin Suspension สาหรับใช้กับเด็ก มีความแรง 325 mg/tsp หาก
ต้องการต้องการเตรียม 4 fl.oz. จะต้องใช้ aspirin เท่าใด
1. 2.6 g
2. 3.9 g
3. 7.8 g
4. 9.75 g
5. 39 g
12. ในการเตรียม Aspirin Suspension หากต้องเติมสารบัฟเฟอร์ ปรับ pH ให้มี pH เท่ากับ 6.8 ภก.ประชาจะใช้บัฟเฟอร์ใด
1. NaH2PO4(pKa 7.21)/ Na2HPO4
2. Na2HPO4 (pKa 12)/ Na3PO4
3. Acetic acid (pKa 4.76)/ Sodium acetate
4. Boric acid (pKa 8.24)/Sodium borate
5. HCl/NaOH
13. ในการเตรียม Aspirin Suspension หากต้องการให้ยาตกตะกอนไม่เร็วเกินไป สารปรุงแต่งที่ต้องเติม คือ
1. glycerin
2. Tween 80
3. methylcellulose
4. aluminium chloride
5. sodium citrate
14. ตารับ Aspirin Suspension ที่เตรียมแล้วพบว่าเมื่อตั้งทิ้งไว้เป็นก้อนแข็ง เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
1. flocculation
2. lamination
3. creaming
4. coalescence
5. caking
15. นางศรีเวียงได้รับยา Enteric-coated Aspirin Tablets จานวน 100 เม็ด ภก.ประชาได้ให้คาแนะนำวิธีรับประทานยา มียกเว้นข้อใดที่ไม่ถูกต้อง
1. ห้ามเคี้ยว
2. ห้ามหักแบ่งครึ่ง
3. ดื่มน้ำตามอย่างน้อย 1 แก้ว
4. รับประทานหลังอาหารทันที
5. คำแนะนาถูกต้องหมด
.......................................................................................................................................
คำตอบ
1. 1 D.F. = 2/ (2 + 0.5 + 0.5 + 1 +0) = 0.5
2. 4 D.F. = 2/ (0.5+ 0 + 1+ 2 +1) = 0.44
3. 3 D.F. = 2/ (1 + 0 + 2+ 0 +0.5) = 0.57
4. 4 D.F. = 2/ (0 + 0.5 + 0.5 + 2 +0.5) = 0.57
5. 5 D.F. = 2/ (0.5 + 0.5+ 0.5 + 1.5 +2) = 0.4
6. 4 D.F. = 2/ (0 + 1 + 0.5 + 2 +0) = 0.57
7. 2 D.F. = 2/ (1 + 2 + 0+ 1 +0) = 0.5
8. 3 D.F. = 2/ (0 + 0+ 2+ 0.5 +1.5) = 0.5
9. 2 D.F. = 2/ (0 + 2 + 0+ 1 +0.5) = 0.57
10. 1 D.F. = 2/ (2 + 1.5 + 0.5+ 0.5 +0) = 0.44
11. 3 D.F. = 2/ (0 + 0.5 + 2+ 0.5 +0) = 0.67
12. 1 D.F. = 2/ (2 + 0.5 + 0.5 + 0.5 +0) = 0.57
13. 3 D.F. = 2/ (0.5 + 0.5 + 2+ 0.5 +0.5) = 0.5
14. 5 D.F. = 2/ (0.5 + 0 + 0.5+ 0 +2) = 0.67
15. 4 D.F. = 2/ (0.5 + 0.5 + 1+ 2 +0.5) = 0.44
นางฉัตรา อายุ 35 ปี เข้ามาพบเภสัชกรเพื่อขอซื้อยาตามใบสั่งแพทย์ดังนี้
Chlorpropamide 500 mg 1 tab bid # 60
เมื่อซักประวัติทราบว่า นางฉัตราได้รับการตรวจวิเคราะห์จากแพทย์โดยละเอียดและพบว่าเป็น
โรคเบาหวานและเป็นการได้รับยาครั้งแรก
16. ในฐานะเภสัชกร ข้อมูลใดที่จำเป็นที่ต้องได้รับจากนางฉัตราก่อนทาการจ่ายยานี้
ก. ประวัติการแพ้ยา
ข. โรคประจาตัวอื่น ๆ
ค. การอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ง. ระดับน้ำตาลในเลือดของนางฉัตรา
จ. ประวัติการเป็นโรคเบาหวานของบุคคลในครอบครัว
1. ข้อ ก และ ข
2. ข้อ ก, ข และ ค
3. ข้อ ก, ข, ค และ ง
4. จาเป็นต้องได้รับข้อมูลทุกข้อก่อนการจ่ายยา
5. เฉพาะข้อ ก
17. จากข้อมูลที่มีข้างต้น เภสัชกรควรจ่ายยานี้ในขนาดดังกล่าวให้ผู้ป่วยหรือไม่
1. ควรจ่ายโดยไม่มีข้อสงสัย
2. ควรจ่ายหลังจากวัดระดับน้าตาลในเลือดให้แก่ผู้ป่วยที่ร้านขายยาในขณะนั้น
3. ไม่ควรจ่ายและแนะนาให้ผู้ป่วยกลับไปพบแพทย์ใหม่
4. จ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยหลังจากปรับขนาดยาเป็น 500 mg qd
5. จ่ายยาหลังจากติดต่อแพทย์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมและปรับขนาดยา
18. ขนาดยา Chlorpropamide ที่เหมาะสมในการใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานระยะเริ่มแรกได้แก่
1. 500 mg bid
2. 500 mg qd
3. 250 mg bid
4. 100 mg tid
5. 100 mg qd
19. นางฉัตราจัดเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่อ
1. ระดับน้าตาลในเลือดหลังจากอดอาหารมีค่ามากกว่า 100 mg/dl
2. มีอาการหิวบ่อย และปัสสาวะบ่อย
3. มีระดับน้าตาลในเลือดมากกว่า 200 mg/DL ในช่วงเวลาใดก็ตามโดยไม่คานึง
ถึงระยะเวลาในการรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย
4. ระดับน้าตาลในเลือดหลังจากการผ่าน Oral glucose tolerance test หรือ OGT
เป็นเวลา 2 ชั่วโมงมีค่ามากกว่า 150 mg/DL
5. ถูกทุกข้อ
20. กลไกการออกฤทธิ์ของยา Chlorpropamide ในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้แก่
1. เพิ่ม Insulin resistance ในผู้ป่วย
2. ลด Insulin resistance ในผู้ป่วย
3. กระตุ้นการหลั่งของ Insulin ในผู้ป่วย
4. ข้อ 1 และ 3 ถูก
5. ข้อ 2 และ 3 ถูก
ต่อมาประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากที่เภสัชกรได้จ่ายยาให้แก่นางฉัตราแล้ว นางฉัตราได้กลับมาพบเภสัชกรอีกเนื่องจากพบว่ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากทุกวันหลังจากรับประทานยาจนทนไม่ไหว แต่เมื่อวัดระดับน้าตาลในเลือดทันทีหลังตื่นนอนแล้วพบว่าอยู่ในระดับ 100 mg/dl จากการซักถามเพิ่มเติมทราบมาว่านางฉัตราไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อนเมื่อคืนและดื่มไวน์ไป 2 แก้ว
21. เภสัชกรควรให้คาแนะนาแก่นางฉัตราเพื่อรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างไร
1. ให้ผู้ป่วยหยุดยาทันทีเนื่องจากมีอาการแพ้ยา
2. ให้เปลี่ยนขนาดยาเป็น 50 mg qd
3. ให้ผู้ป่วยรับประทานยาหลังอาหาร
4. ให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
5. ข้อ 2 และ 3 ถูกต้อง
22. อาการใดที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ผู้ป่วยได้รับยาในขนาดสูงเกินไป
1. อาการคลื่นไส้ อาเจียน
2. ระดับน้าตาลในเลือดต่ำ
3. มือเท้าสั่น หัวใจเต้นเร็ว
4. ข้อ 2 และ 3 ถูก
5. ข้อ 1, 2 และ 3 ถูก
23. เภสัชกรควรให้คาแนะนาแก่ผู้ป่วยเรื่องการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ร่วมกับการรับประทานยานี้อย่างไร
1. แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มได้ตามปกติ
2. แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มได้บ้างแต่จานวนน้อยลง
3. แนะนำให้ผู้ป่วยหยุดดื่มจนกว่าอาการคลื่นไส้อาเจียนจะหายไป
4. หากผู้ป่วยต้องการดื่มแอลกอฮอล์ให้ดื่มอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนหรือหลัง
รับประทานยา
5. ให้ผู้ป่วยหยุดดื่มอย่างเด็ดขาด
หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน นางฉัตราได้กลับมาพบเภสัชกรและนาใบสั่งยาใบใหม่มาได้แก่
Tolbutamide 250 mg qd pc #30
เมื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมพบว่าแพทย์ต้องการให้ผู้ป่วยเปลี่ยนยาเป็นตัวใหม่นี้และให้หยุดยา
เดิมเนื่องจากผู้ป่วยมีอาการบวมน้าและ hyponatremia หลังจากรับประทานยา chlorpropamide
24. อาการบวมน้าและ hyponatremia จากยา chlorpropamide เกิดจาก
1. Allergic Reaction
2. Toxic Reaction
3. Overdose
4. ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการรับประทานอาหารให้เหมาะสมได้
5. เป็นลักษณะเฉพาะจากการใช้ยานี้
25. หลังจากการรับประทานยาตัวใหม่นี้ไปเพียง 1 วัน นางฉัตราได้พบว่าตนเองมีภาวะ hypoglycemia
ตลอดเวลา เภสัชกรอาจคาดการณ์ได้ว่าภาวะ hypoglycemia นี้มีสาเหตุหลักจาก
1. ขนาดยา Tolbutamide ที่ได้รับมีขนาดสูงเกินไป
2. มีการเสริมฤทธิ์กันระหว่างยา chlorpropamide และ Tolbutamide เนื่องจากระยะเวลาในการออกฤทธิ์ของยา Tolbutamide เนิ่นนาน
3. เป็นภาวะปกติของผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงยา
4. ผู้ป่วยอาจรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากผลข้างเคียงจากยา
5. ผู้ป่วยวัดระดับน้าตาลในเลือดตนเองผิดพลาด ภาวะ hypoglycemia ไม่น่าเกิดในขนาดยานี้
26. เมื่อเปรียบเทียบ Duration of action ของยาในกลุ่ม sulfonylureas พบว่าสามารถเรียงลาดับได้ดังนี้
1. Chlorpropamide > Glyburide > Glipizide > Tolbutamide
2. Tobutamide > Glipizide > Glyburide > Chlorpropramide
3. Glyburide > Tolbutamide > Glipizide > Chlorpropramide
4. Glipizide > Glyburide > Chlorpropramide > Tolbutamide
5. Tolbutamide > Chlorpropamide > Glyburide > Glipizide
27. นางฉัตราพบว่าหลังจากรับประทานยาดังกล่าวไปช่วงหนึ่งพบว่ามีอาการจุกเสียดแน่นท้อง นางฉัตรา ขอคำแนะนาจากเภสัชกรเกี่ยวกับสมุนไพรเพื่อรักษาอาการดังกล่าวในฐานะเภสัชกรท่านจะแนะนาให้นางฉัตราใช้สมุนไพรตัวใดเพื่อรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง
1. ฟ้าทะลายโจร
2. ขมิ้นชัน
3. พญายอ
4. ชุมเห็ดเทศ
5. หญ้าหนวดแมว
นางฉัตรากล่าวว่าเมื่อเดือนที่แล้วไปซื้อยา Tolbutamide จากร้ายยาอื่น ซึ่งเม็ดยาที่ได้มีลักษณะ
แตกต่างจากที่ได้รับครั้งนี้ และระดับน้าตาลในเลือดจากการรับประทานยาจากร้านดังกล่าวไม่สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ดีนักแม้ว่ายาดังกล่าวจะยังไม่หมดอายุก็ตาม
28. ในฐานะที่ท่านเป็นเภสัชกรท่านจะสามารถอธิบายการออกฤทธิ์ของยาที่เป็นชื่อสามัญเดียวกันแต่ผลิตจากบริษัทที่แตกต่างกันได้ด้วยเหตุผลใด
1. ปริมาณยาที่มีอยู่ในเม็ดยาไม่เท่าเทียมกัน
2. กระบวนการในการผลิตยาเม็ดทั้ง 2 ชนิดแตกต่างกัน
3. ยาที่ได้จากร้านดังกล่าวเป็นยาปลอม
4. ข้อ 1 และ 2 ถูก
5. ถูกทุกข้อ
29. เนื่องจากยาที่ได้รับจากร้านอื่นไม่มีคุณภาพในการรักษาเท่าที่ควร นางฉัตรามีความเข้าใจว่ายาดังกล่าวเป็นยาปลอม ตามพระราชบัญญัติยากล่าวไว้ว่ายาปลอมหมายถึงยาที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตาม
มาตรฐานถึงขนาดที่ปริมาณหรือความแรงของสารออกฤทธิ์ขาดหรือเกินกว่าร้อยละเท่าใดจากเกณฑ์
ต่ำสุดหรือสูงสุดซึ่งกำหนดไว้ในตารับยาที่ขึ้นทะเบียนไว้
1. 5%
2. 10%
3. 15%
4. 20%
5. 25%
30. ในปีต่อมา นางฉัตราไม่สามารถควบคุมอาการของโรคเบาหวานได้ด้วยยาลดระดับน้าตาลในเลือดแต่เพียงอย่างเดียว แพทย์ได้ให้นางฉัตราได้รับ Insulin เพิ่ม โดยให้นางฉัตราได้รับชนิด NPH Insulin ซึ่ง
เภสัชกรได้อธิบายให้นางฉัตราทราบว่า Insulin ชนิดนี้มีการออกฤทธิ์แบบเนิ่นนาน ท่านสามารถอธิบายการออกฤทธิ์แบบเนิ่นนานของยานี้ได้อย่างไร
1. ยานี้เป็นเกลือที่ไม่ละลายน้า
2. ยาดังกล่าวอยู่ในกระสายยาที่เป็นน้ามัน
3. ตำแหน่งที่ฉีดของยาทั้ง 2 ชนิดนี้แตกต่างกัน
4. ผู้ป่วยมีการนวดคลึงบริเวณที่ฉีดแตกต่างกัน
5. ตัวยาอยู่ในรูปของสารประกอบเชิงซ้อน